Top
ข่าวสารและบทความ
หมวดหมู่
รีวิวความประทับใจจากผู้ใช้บริการ
03 Feb 2019
ศิริแบตเตอรี่ ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ เลือกใช้บริการ แบตเตอรี่ดีๆ พร้อมบริการถึงบ้านคุณ ต้อง ศิริแบตเตอรี่ เท่านั้น!!
อ่านต่อ
แบตเตอรี่รถยนต์ แบบไหนที่เหมาะกับรถคุณ
25 Jan 2019
แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเก็บไฟฟ้าของรถยนต์เอาไว้ใช้เลี้ยงอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ หากใครเคยประสบปัญหารถสตาร์ทไม่ติดคงรู้ว่า วุ่นวาย และชวนหงุดหงิดสักแค่ไหน เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องเหล่านี้เราจึงควรตรวจเช็กและเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อครบตามกำหนด กระปุกคาร์จึงรวบรวมความรู้ของแบตเตอรี่รถยนต์มาบอก การเลือกขนาดแอมแปร์แบตเตอรี่รถยนต์แบตเตอรี่รถยนต์ ต้องเลือกแอมแปร์ให้พอดีหรือมากกว่านิดหน่อย แบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์มากกว่า จะใช้งานได้ทนทานกว่าแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์น้อยกว่า (แต่แอมป์ยิ่งมากราคายิ่งสูง) ดังนี้ * รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่อง 1200-1900 ซี.ซี. อาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 45-60 แอมป์* รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่อง 2000-3000 ซี.ซี. อาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 60-75 แอมป์* รถเก๋ง ยุโรป เครื่อง 2000-3000 ซี.ซี. อาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์ ขั้วจม* รถเก๋ง ยุโรป เครื่อง 2800-4000 ซี.ซี. อาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ ขั้วจม* รถกระบะ เครื่อง 2000-3000 ซี.ซี. อาจเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 70-90 แอมป์ เลือกประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์แบตเตอรี่รถยนต์ปัจจุบันนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ แบตเตอรี่รถยนต์เปียก (กรดตะกั่ว)เหมาะกับผู้ที่ดูแลรักษารถเป็นประจำและใช้รถเป็นประจำทุกวัน เพราะต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย อย่างน้อยก็ควรเดือนละครั้ง รักษาปริมาณน้ำกลั่นให้เหมาะสม ลักษณะเด่น - มีราคาถูก, มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด ถ้าดูแลอย่างสม่ำเสมอ แบตเตอรี่รถยนต์กึ่งแห้ง MF (Maintenance Free)พัฒนามาจากแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น ถูกออกแบบมาให้มีการสูญเสียน้ำกลั่นน้อยมาก (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน) ด้วยการคิดสูตรผสมแผ่นธาตุใหม่ผสมแคลเซียม (calcium) ทำให้การระเหยของไอกรดต่ำ เรียกกันภาษาปากว่าแบตแห้งเพราะแทบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลยหากไม่มีปัญหา ลักษณะเด่น - มีราคาปานกลาง อายุการใช้งานปานกลาง สะดวกที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้ง SMF (Sealed Maintenance Free Car Battery)แบบแห้งของเมืองนอกจะใช้เจลหรือซิลิโคนแทนน้ำกรด ด้วยเหตุผลทางอุณภูมิของอากาศที่มีความหยาวเย็นถึงขั้นองศาติดลบ ส่วนใหญ่รถยนต์ยุโรปถูกออกแบบมาให้ใช้กับแบตเตอรี่ชนิดนี้ ลักษณะเด่น - ราคาแพง อายุการงานปานกลาง ใช้กับรถยนต์ยุโรป สำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ก็ขอให้พิารณายึดหลัก 2 ข้อนี้เป็นหลัก รายละเอียดปลีกย่อยสามารถถามกับผู้ขายได้เลย เช่น ขนาดของแบตเตอรี่ใหญ่เกินที่วางหรือเปล่า วันที่ผลิตของแบตเตอรี่ ส่วนเรื่องของยี่ห้อไหน เลือกราคาเท่าไหร่ อาจจะต้องพิจารณากันเองตามขนาดรถยนต์ที่ใช้   ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : car.kapook.com
อ่านต่อ
แบตเตอรี่รถยนต์ กับ 8 เคล็ดลับที่ควรรู้ในเบื้องต้น
25 Jan 2019
8 เคล็ดลับควรรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อไรควรได้เวลาเปลี่ยนและเลือกแบตเตอรี่อย่างไรให้เหมาะสมกับรถ เรื่องง่าย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องรอจนกว่ารถจะสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่เสื่อม ซึ่งเป็นอะไรที่วุ่นวาย เสียเวลาและน่าหงุดหงิดกว่ามาก คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ถ้ารถคันเก่งเกิดสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่หมดอายุโดยที่ไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า และเดาได้เลยว่าชีวิตวันนั้นจะพังและวุ่นวายมากแค่ไหน ซึ่งอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาแบบคาดไม่ถึงเพียงเพราะแบตเตอรี่ลูกเดียวเท่านั้น แต่ปัญหาทุกอย่างนั้นหลีกเลี่ยงได้ด้วยเคล็ดลับในการเลือกและดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์เบื้องต้นแบบง่าย ๆ ที่จะทำให้ใช้รถได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องคอยวุ่นวายกับปัญหาแบตเตอรี่ 1. ไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมจนสตาร์ทไม่ติดควรเอาใจใส่และเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่ต้องรอ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลม ๆ ไว้เปิดเติมน้ำกลั่นได้เองและต้องได้รับการดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่นแบบนี้ไม่ต้องการการดูแลมากนัก) มักจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมากจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรืออาจมากกว่านั้น ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ร้านค้าจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งสามารถเอาไว้ดูได้ด้วยว่าแบตเตอรี่จะถึงระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยนเมื่อไร 2. ตรวจสภาพแบตเตอรี่รถยนต์เป็นประจำถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่เราแนะนำว่าถ้ามีโอกาสควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำอย่างน้อยทุก ๆ สองปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนแทบจะตลอดทั้งปี (แบตเตอรี่ทุกแบบกลัวร้อนทั้งสิ้นและความร้อนส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น) ทั้งนี้หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลงจากปกติ แบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อยควรตรวจสอบโดยด่วนว่ามาจากสาเหตุใด และถึงแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์และยังเป็นอันตรายไม่มากก็น้อยแม้จะทำอย่างถูกวิธีก็ตาม 3. เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีขนาดพอดี ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่โดยเฉพาะเมื่อให้ร้านนำมาเปลี่ยนให้ ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ระบุย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไรเพื่อความถูกต้อง 4. เลือกความจุแบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะสมถ้าเป็นรถเดิม ๆ ตามสเปคจากโรงงานนั้นแทบจะไม่มีอะไรยุ่งยากสำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าเดิมให้เช็กจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่ (หรือแอมป์) ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์นั้นคำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินไปกว่าที่ผู้ผลิตกำหนดให้สิ้นเปลืองหากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งหากมีสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมป์สูงขึ้นได้ (ขึ้นอยู่กับว่าจัดมาชุดใหญ่แค่ไหน) และสิ่งที่ต้องระวังคือแบตเตอรี่แอมป์สูงๆ มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วยจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าฐานของแบตเตอรี่เดิมนั้นสามารถรองรับได้ด้วยหรือไม่ 5. เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอกำลังสตาร์ทที่ว่าจะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ซึ่งเป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ที่ไว้จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ เพราะจะเป็นค่าที่บอกว่าแบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟเพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ (ซึ่งจะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ) ได้แค่ไหน ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตามไปด้วย อย่างไรก็ตามค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกันซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้และควรต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด แต่ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดค่า CCA ไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ 6. เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่ผลิตใหม่เสมอแบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งานก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้และไม่ได้ซับซ้อนขนาด Davinci Code ซึ่งอาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต แค่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และถ้าลูกค้ารีบคนขายอยากขายไม่ได้ถูกชาร์จไฟให้แบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนนำมาใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว 7. รีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์เก่าแบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ ร้านค้าที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้วโดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้เลย ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไรและราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าไปแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจก็ได้ถ้าสะดวก (ถ้าไม่รอจนแบตเตอรี่เสื่อมก็มีเวลาให้เลือกเยอะ) 8. เปรียบเทียบการรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละยี่ห้อเป็นอีกข้อที่สำคัญมาก ๆ และไม่ควรมองข้ามสำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ก็คือเราควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่ และนอกจากระยะเวลารับประกันแล้วควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้างอย่างละเอียดให้เข้าใจ เพราะจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันทีหลังให้เสียเวลา เสียอารมณ์หากเกิดปัญหา แต่หลัก ๆ แล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นมักจะคล้ายกัน ทั้งหมดเป็นเคล็ดลับและแนวทางในการเลือกแบตเตอรี่รถยนต์เบื้องต้นโดยไม่ต้องรอให้ปัญหาเกิดขึ้นซึ่งวุ่นวาย เสียเวลา อันตรายรวมถึงอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คิด และที่สำคัญของถูกและดีย่อมไม่มีในโลก   ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : car.kapook.com
อ่านต่อ
วิธีการดูแลรักษาแบตรถยนต์
25 Jan 2019
แบตเตอรี่รถยนต์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์นั้นเป็นตัวสำรองไฟฟ้าให้กับรถยนต์ ซึ่งจะส่งผลแก่ เครื่องยนต์ และระบบไฟ ในตัวรถทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์เป็นอันขาด เราควรดูแลรักษาแบตรถยนต์ของเราให้ดี เพราะหากเราไม่ดูแลรักษาแบตรถยนต์ จะส่งผลเสียหลายอย่างกับตัวรถ เช่น กระจกอัตโนมัติไม่สามารถใช้งานได้ ไฟหน้าไม่สว่าง และ สตาร์ทรถไม่ติด ซึ่งหลายคนชอบคิดว่าการดูแลรักษาแบตรถยนต์นั้น จะต้องนำเข้าศูนย์เท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว การดูแลรักษาแบตรถยนต์ ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเรารู้วิธีการดูแลรักษาแบตรถยนต์อย่างถูกวิธี แบตเตอรี่ของคุณก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้และยืดอายุการใช้งานได้อีกนานเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการดูแลรักษาแบตรถยนต์ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้ทำให้คุณได้มั่นใจว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะไม่ทำให้ชีวิตคุณสะดุดแน่นอน 1. ตรวจสอบสถาพแบตเตอรี่รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ สังเกตว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่2. ดูแลรักษาแบตรถยนต์ ไม่ให้มีคราบขี้เกลือเกิดขึ้น หากมีคราบขี้เกลือ เพียงแค่นำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดคราบก็จะออกโดยง่าย และ ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นสำหรับแบตน้ำทุก ๆ สัปดาห์3. ตรวจเช็คระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบชาร์จต่ำหรือสูงเกินไปไหม4. หากอากาศหนาวหรือมีอุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการกระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่น จะต่ำลง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการดูแลรักษาแบตรถยนต์หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมาก ๆ ในขณะที่อากาศเย็น5. ดูแลรักษาแบตรถด้วยการเติมน้ำกลั่นให้พอดีในระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมสูงเกินหรือน้อยเกินไป เพื่อป้องกันอาการขี้เกลือขึ้นไว และเป็นสาเหตุให้แบตสกปรก6. การดูแลรักษาแบตรถยนต์นั้น ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่จะนำมาติดตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับกับกระแสไฟ ของวงจรไฟฟ้ารถยนต์ และเมื่อเราดูแลรักษาแบตรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ และไม่มีปัญหาเวลาสตาร์ทรถ รวมถึง ทำให้กระแสไฟ กระจายได้ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้ดูแลรักษาแบตรถอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อเราใช้แบตเตอรี่ไปได้สัก 1 ปี หากเราไม่มีการดูแลรักษาแบตรถยนต์เลยแบตเตอรี่ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ จะมีข้อสังเกตง่าย ๆ ดังนี้ 1. เครื่องยนต์จะเริ่มสตาร์ทติดยากขึ้น2. ไฟหน้าจะเริ่มไม่ค่อยสว่าง3. กระจกไฟฟ้าจะทำงานช้าลง4. ระบบไฟฟ้าเริ่มทำงานผิดปกติ อาการทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า แบตเตอรี่รถยนต์เริ่มเสื่อม เนื่องจากการไม่ดูแลรักษาแบตรถยนต์เท่าที่ควร จนทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วกว่าปกติ ซึ่งวิธีแก้ไขคือการเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เลย เพราะฉะนั้นหากไม่อยากเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่บ่อยๆ เราควรหันมาดูแลรักษาแบตรถยนต์ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ   ขอบคุณแหล่งที่มา : 3K Battery
อ่านต่อ
พ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ถูกวิธี ปลอดภัย ลดความเสี่ยง
25 Jan 2019
ปภ.​ ​แนะเลือกใช้และพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ถูก​​วิธี​ ​พ่วงแบตเตอรี่ไม่ติด พ่วงแบตเตอรี่ผิดขั้ว จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเรามาเรียนรู้ทักษะการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ถูก​​วิธี แบตเตอรี่รถยนต์เป็นอุปกรณ์จัดเก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าของรถยนต์ ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้ขับขี่มักประสบปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ทำให้เครื่องยนต์ดับและสตาร์ทไม่ติด การพ่วงแบตเตอรี่จึงเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้ตามปกติในระยะเวลาสั้น​ ​ๆ ก่อนนำรถไปตรวจสอบ ซึ่งการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อย่างไม่ถูกวิธี​ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ก็มีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเลือกใช้แบตเตอรี่ และพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อย่างถูกวิธี ดังนี้ การเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ ​- ​ใช้แบตเตอรี่รถยนต์ที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม​ (มอก.) และผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย​- ​เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งานของรถแต่ละรุ่น โดยมีขนาดแอมแปร์เท่ากับ​ห​รือมากกว่าที่ติดมากับรถยนต์- ​มีความจุไฟฟ้าเหมาะสมกับปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าของรถ หากมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม อาทิ เครื่องเสียง ให้ใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์สูงขึ้น การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ - ปิดสวิตช์และอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถ- นำรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติมาจอดใกล้ ๆ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่- นำสายพ่วงแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ต่อกับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วมาต่อกับรถที่มาช่วย- นำสายพ่วงแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ต่อกับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถคันที่มาช่วย อีกฟากให้หนีบที่โลหะในเครื่องยนต์ เป็นการสร้างระบบกราวนด์ของแบตเตอรี่- สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่มีแบตเตอรี่ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อย เพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า- สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตเตอรี่หมด พร้อมเร่งเครื่องในอัตรา 1,500–2,000 รอบต่อนาที เพื่อตรวจสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้าหลังจากการชาร์จไฟแบตเตอรี่หรือไม่- ถอดสายพ่วงรถคันที่แบตเตอรี่หมดและถอดสายพ่วงรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติออก- นำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ข้อควรระวังในการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ - ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดระบบไฟของรถทั้งสองคัน เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟ ส่งผลให้เกิดการระเบิดได้- ไม่ต่อสายพ่วงเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่ของรถคันที่แบตเตอรี่หมด เพื่อป้องกันแบตเตอรี่ระเบิด- ห้ามสูบบุหรี่ จุดไฟแช็ก หรือก่อให้เกิดประกายไฟ เพราะในขณะต่อสายพ่วงแบตเตอรี่จะมีแก๊สบริเวณดังกล่าว ทำให้เกิดการระเบิดได้- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและถุงมือทุกครั้งที่สัมผัสแบตเตอรี่ เพราะน้ำกรดในแบตเตอรี่เป็นสารกัดกร่อน ทำให้ได้รับอันตรายได้- ระมัดระวังไม่ให้แบตเตอรี่เอียงหรือตะแคง เพราะน้ำกรดอาจรั่วไหลออกมาทางรูระบาย ก่อให้เกิดอันตรายได้- ระมัดระวังไม่ให้ปลายสายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะจะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร แม้การพ่วงแบตเตอรี่จะสามารถทำเองได้ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากแบตเตอรี่มีน้ำกรด​ เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติกัดกร่อนพื้นผิว อีกทั้งในขณะที่แบตเตอรี่ทำงาน จะเกิดการสะสมของก๊าซไฮโดรเจน หากมีประกายไฟจะทำให้เกิดการระเบิดได้   ข​อขอบคุณข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
อ่านต่อ
อาการของ "ไดสตาร์ทเสีย"
12 Feb 2019
รถยนต์ทุกคันก่อนจะใช้งานต้องผ่านการติดเครื่อง หรือ สตาร์ทเครื่องยนต์ ทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของ ไดสตาร์ท หรือมอเตอร์สตาร์ทนั่นเอง แล้วรู้หรือไม่ว่าสัญญาณหรืออาการของ ไดสตาร์ท เสียมีอาการแบบไหน ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ยังมีไฟอยู่ ก็สตาร์ทไม่ติด เกิดจากอะไรกันแน่?? การทำงานของ ไดสตาร์ท ใช้เพียงแค่ตอน สตาร์ทเครื่องยนต์ เท่านั้น เพียงแค่บิดกุญแจ หรือกดสวิตซ์กุญแจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นพลังงานกล จากนั้นเครื่องยนต์ก็จะติด ถือว่าเครื่องยนต์ก็พร้อมใช้งานได้เลย และเป็นชิ้นส่วนที่ถือว่ามีอายุการใช้งานยางนานที่สุดกว่าชิ้นส่วนอื่นๆ   แต่อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนของรถยนต์ทุกชิ้น ไม่ใช่จะอยู่ทนกับเราได้ตลอดเวลา หรือไม่มีอาการเสื่อมหรือเสีย เพราะชิ้นส่วนทุกอย่างก็ต้องมีอายุการใช้งานของมัน รวมไปถึงลักษณะการใช้งานและการดูแลรักษาของแต่ละบุคคลอีกด้วย เช่นกัน ถ้า ไดสตาร์ท เกิดเสียขึ้นมาละก็จะทำอย่างไร แล้วอาการของ ไดสตาร์ท เสียจะมีอาการแบบไหน??   อาการของ ไดสตาร์ท เสีย มีดังนี้ หมุนกุญแจ หรือกดปุ่มสตาร์ทแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เงียบ) อาการนี้บ่งบอกได้เลยว่า ไดสตาร์ท ของคุณเสียซะแล้ว เตรียมเงินไว้ได้เลย ซึ่งหากสตาร์ทไม่ติดตอนที่อยู่ที่บ้านก็ถือว่าโชคดีมาก แต่ถ้าอยู่ข้างนอก หรืออยู่ระหว่างเดินทาง บิดหรือกดปุ่มสตาร์ทแล้วเงียบ สัก 2-3 ครั้ง ให้ตั้งสติก่อน จากนั้นค่อย บิดหรือกดปุ่มสตาร์ทแบบเร็วๆ ถ้าเครื่องยนต์ติดก็ถือว่าคุณโชคดีมาก แล้วไม่ควรจอดแวะที่ไหน นอกจากกลับบ้านอย่างเดียว (ต้องบอกก่อนว่าอาจจะได้ผลไม่ทุกคัน) หลังจากสตาร์ทติด มีเสียงผิดปกติ เสียงครืดคราด ถ้ามีอาการแบบนี้ ควรรีบไปตรวจสอบโดยด่วนว่า ไดสตาร์ท มีปัญหาหรือไม่ แปรงถ่านในตัวไดสตาร์ทอาจจะหมด หรือใกล้จะหมด อย่างไรก็ตามถ้าใครที่เกิดเหตุการณ์ ไดสตาร์ท เสียหรือไม่ทำงาน คุณอาจจะต้องนำรถยนต์ของคุณเข้าศูนย์บริการรถยนต์หรืออู่ เพื่อให้ช่างที่ชำนาญได้ตรวจสอบ หรือแก้ไขซ่อมแซปัญหา ไดสตาร์ท ให้คุณได้ แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆ คุณก็สามารถแก้ไขปัญหากรณี ไดสตาร์ท เสีย ง่ายๆ ด้วยตัวเองได้ 3.1 ลองสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเร็วๆ อย่างที่บอกข้อนี้อาจจะไม่ได้ผลกับรถยนต์ทุกคัน 3.2 หากเป็นเกียร์ธรรมดา ให้ใช้วิธีเข็น โดยใส่เกียร์ 1 ค้างไว้ เหยียบคลัตซ์ และบิดกุญแจไปตำแหน่งขวาสุด เพื่อให้ไฟหน้าปัดแสดง เมื่อเข็นจนได้ความเร็วพอสมควรแล้ว ให้ปล่อยคลัตซ์ จากนั้นเหยียบคันเร่ง หลังจากที่เครื่องยนต์ติดแล้วให้แตะเบรกไว้ จากนั้นก็ขับรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ทันที 3.3 ใช้โลหะเคาะไปที่ไดสตาร์ท หากรถยนต์เป็นเกียร์ออโต้หรือไปคนเดียวโดยไม่มีคนช่วยเข็น อาจะจำเป็นต้องใช้โลหะ เช่น แม่แรงหรือประแจถอดล้อ ฯลฯ เอามาเคาะหรืกะทุ้งไปที่ตัว ไดสตาร์ท อย่างเบาๆ สัก 3-4 ครั้ง ตรงตำแหน่งทรงกลมสีดำที่มีสติ๊กเกอร์สีบรอนซ์ติดอยู่ แล้วกลับไปสตาร์ทอีกครั้งหนึ่ง เพราะมันอาจจะแค่สกปรกก็ได้ จากนั้นเครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทแบบปกติ
อ่านต่อ